วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 20, 2553

ทำไมตอนนั้นผมซื้อหุ้นทอผ้า

สืบจากกระทู้ของพี่หมอสามัญชน http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=41860
ทำให้ผมได้ idea กับบทความนี้

ไม่มีใคร pm มาหาผมเลย (แต่อยากเขียนเอง) ว่าทำไมซื้อหุ้นทอผ้า ผมเลยอาศัยจังหวะล้อกระทู้ของพี่หมอไว้ ณ โอกาสนี้

ตอนซื้อ TR และ TTTM ผมมีแนวคิดดังนี้ครับ

มุมมองด้านอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรมทอผ้า เป็นอุตสาหกรรมที่ไม่เป็นที่น่าสนใจ แต่ผมคิดว่ายังสามารถอยู่ได้ต่อไปได้เรื่อยๆ เพราะผ่านการพิสูจน์จากการเข้ามาของคู่แข่งจากจีนและวิกฤติ subprime ซึ่งปรากฎว่า หุ้นหลายๆตัว ก็ยังมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ไม่ลดลงมาก (ถึงแม้บางตัวกำไรทางบัญชีจะติดลบ)
และด้วยความที่อุตสาหกรรมนี้เป็นอะไรที่เข้าใจได้ไม่ยาก เทคโนโลยีไม่ซับซ้อน ทำให้การคาดการณ์กำไรและยอดขายไม่ยากนัก ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจฟื้น อุตสากรรมนี้ก็น่าจะฟื้นตัวได้ตามไปด้วย
ในแง่การลงทุน จากการสอบถามผู้ที่ทำงานในโรงงานทอผ้า (แต่ไม่ใช่ฉันทนานะครับ) เงินลงทุนที่ใช้ก็ไม่มาก เพราะเครื่องจักรสามารถใช้งานได้ค่อนข้างยาวนานซึ่งการประมาณอายุตามเกณฑ์ทั่วไปที่ใช้กันนั้น อาจจะมากเกินไป ทำให้กำไรทางบัญชีของหุ้นกลุ่มนี้ดูต่ำเกินความเป็นจริง

มุมมองด้านความสนใจจากนักลงทุน
เนื่องจากเป็นอุตสาหกกรมที่ไม่หวือหวาและไม่มีอะไรโดดเด่น อีกทั้งสภาพคล่องก็ไม่มากนัก ไม่มีรายใหญ่เข้ามาเทรด จึงทำให้ราคาหุ้นเมื่อเทียบกับกระแสเงินสดของหุ้นทอผ้าหลายตัวน่าสนใจ

มุมมองด้านการเลือกหุ้น
TR (Thai Rayon) เป็นหุ้นที่ขึ้นอยู่กับราคา rayon เป็นหลัก ซึ่งในช่วงวิกฤตราคาตกลงไปมาก จึงน่าลุ้นว่าเมื่อเศรษฐกิจกลับมาดีเหมือนเดิม ราคาก็น่าจะกลับมาใกล้เคียงเดิมได้ไม่ยากนัก ประกอบกับความแข็งแกร่งของ back up จาก Grasim และโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง ตัวนี้จึงเป็นตัวที่มากที่สุดใน port ขณะนั้นครับ

TTTM (Thai Toray Textile Mill) เป็นบริษัทที่ผมพบจากการกรองหุ้นโดยดูกระแสเงินสดเทียบกับ Market cap จากความอนุเคราะห์ของพี่ครรชิตแห่งเว็บ Thaivi พบว่าหุ้นตัวนี้มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ(ประมาณ 200 - 250 ล้าน) ถึงแม้จะผ่านปีที่ต้นทุนวัตถุดิบราคาเพิ่มและยอดขายลดลงจากวิกฤติเศรษฐกิจก็ตาม ในขณะที่การลงทุนนั้น ค่อนข้างน้อยมาก (ประมาณ 50 - 70 ล้าน) ยกเว้นปีที่ลงทุน line การผลิตผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ที่ทำให้เงินลงทุนสูงเพิ่มมากในระดับ 200 - 300 ล้านในช่วง 4-5 ปีก่อน
อีกปัจจัยหนึ่งก็คือโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยบริษํทได้นำเงินสดที่เหลือมาชำระหนี้ธนาคารระยะยาวจนหมดในปี 2009 ทำให้ในปี 2010 นี้ บริษัทจะมีเงินสดเหลือในระดับถึง 150 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่ market cap ขณะนั้นประมาณ 360 ล้านบาทเท่านั้น!

สรุปก็คือบริษัทในกลุ่มนี้มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำแต่ในขณะเดียวกัน การหวังให้ราคาหุ้นขึ้นไปสูงๆในระยะสั้นๆก็คงจะลำบาก เพราะไม่เป็นที่สนใจแก่นักลงทุนทั่วไป มีเพียงแต่ระยะเวลาเท่านั้น ที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่ากระแสเงินสดของบริษัท จะส่งผลอย่างไรต่อราคาหุ้นของกิจการในอนาคต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น